รักเราข้ามกำแพงได้: เรื่องเล่าฉบับ Love Letter ของ “แอมป์” และ “โอ๋” ในห้วงแห่ง Pride Month

ในเดือนมิถุนายน เดือนแห่งการย้ำเตือนถึงการต่อสู้เพื่อความเท่าเทียมและการเฉลิมฉลอง Pride Month “โอ๋” หุ้นส่วนธุรกิจร้านอาหารวัย 34 ปี นั่งเล่าเรื่องราวความรักผ่านจดหมายข้ามกำแพง – โดมิเมล์ (DomiMail) – 5 ฉบับ ที่ส่งออกมาจากเรือนจำ จาก “แอมป์” ณวรรษ เลี้ยงวัฒนา คนรักที่อยู่ในช่วงเวลาไร้เสรีภาพจากโทษทัณฑ์คดีมาตรา 112 ด้วยน้ำเสียงอบอวลไปด้วยความคิดถึง

หลังศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจำคุก 1 ปี 7 เดือน แอมป์ถูกคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ระหว่างฎีกาตั้งแต่ วันที่ 9 ธ.ค. 2567 ถึงตอนนี้นับเป็นระยะเวลากว่า 6 เดือนแล้ว การแยกจากกันครั้งนี้ไม่เพียงสร้างความว่างเปล่าในใจ แต่ยังเป็นช่วงเวลาแห่งการพิสูจน์ความมั่นคงของความรู้สึกที่ทั้งคู่มีต่อกัน

ในวันที่สังคมไทยเฉลิมฉลองการผ่านร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการยอมรับความหลากหลายมากยิ่งขึ้น เรื่องราวของโอ๋และแอมป์จึงมีความหมายมากขึ้น เพราะท่ามกลางบรรยากาศแห่งความก้าวหน้าในบางด้าน พวกเขากลับยังต้องเผชิญกับอุปสรรคที่เกิดจากความแตกต่างทางความคิดและการเมือง

จดหมายแต่ละฉบับตั้งแต่ปลายปี 2567 ที่พวกเขาเริ่มต้องห่างไกล จึงไม่เพียงเป็นการสื่อสารระหว่างคนรัก แต่ยังเป็นเสียงสะท้อนของความโหยหา ความเจ็บปวด และความฝันที่ถูกเลื่อนออกไป เป็นบันทึกของคนสองคนที่ต้องเรียนรู้ว่าความรักสามารถอยู่รอดได้ แม้จะถูกแยกจากกันด้วยกำแพงคดีทางการเมือง

______________________

.

ฉบับที่ 1  “เธอสบายดีไหม เป็นคำถามที่ยังคงวนอยู่ซ้ำซ้ำ”

สวัสดีครับโอ๋สุดที่รักของเค้า เป็นไงบ้างครับวันนี้ เพิ่งเจอกันไปเอง แต่เค้ายังไม่หายคิดถึงโอ๋เลย ยังอยากใช้เวลาด้วยกันอีกนาน ๆ เลยนะ เพราะงั้นรอเค้าหน่อยนะครับ เค้าจะหาทุกวิถีทางให้โอ๋ได้เจอเค้า ได้อยู่กับเค้าให้เร็วที่สุดนะ 

วันนี้ที่เรือนจำเปิดรายการเวิร์คพอยท์ที่เอาฝรั่งมาร้องเพลงไทย มันมีคนนึงร้องเพลงรักแรก เค้าร้องตามไปละอยู่ ๆ น้ำตามันไหลออกมาเอง 

“เธอสบายดีไหม เป็นคำถามที่ยังคงวนอยู่ซ้ำซ้ำ อยากรู้แค่เพียงเธออยู่ตรงนั้น ที่ไม่มีฉัน ชีวิตเธอเป็นไง คิดถึงกันบ้างไหม ส่วนฉันก็คิดถึงเธออยู่ซ้ำซ้ำ ก็หวังแค่เพียงเธออยู่ตรงนั้น จะสุขใจกว่าฉัน อยากให้เธอยิ้มได้เหมือนเก่า เหมือนตอนเรารักกัน”  

มันแทนความรู้สึกเค้าตอนนี้ได้ดีมาก ๆ เค้าอ่ะอยากให้โอ๋ยังมีความสุขได้ถึงแม้เค้าจะไม่ได้อยู่ด้วยในตอนนี้

“เรารู้จักกันมาตั้งแต่ปี 2561 หรือราว 7 ปีที่แล้ว แอมป์เป็นรุ่นน้องห่างกันราว 4 ปี พบกันในแอปพลิเคชั่นหนึ่ง แต่เหตุในชีวิตก็ทำให้ผมเชื่อว่ารักแท้ในนั้นมีอยู่จริง” โอ๋เริ่มต้นบทสนทนา

ความรักของทั้งสองเริ่มต้นจากจุดเล็ก ๆ ในโลกอินเทอร์เน็ต ด้วยไลฟ์สไตล์ที่ชอบเล่นเกมส์และดูการ์ตูนเหมือนกัน สำหรับโอ๋แล้ว แอมป์เป็นคนง่าย ๆ อะไรก็ได้ เพียงอยากอยู่ใกล้ชิดกับโอ๋ แต่เหมือนกับเพลงเศร้าที่เล่นซ้ำไปซ้ำมา บางครั้งต่างคนต่างแยกไปทำงานตามวิถีของตน แล้วก็กลับมาเจอกันอีก วนเวียนไปแบบนี้อยู่ 2-3 รอบ ก่อนจะกลับมาอยู่ด้วยกันยาว

แล้ววันหนึ่งชีวิตก็เปลี่ยนไป เมื่อแอมป์เริ่มเข้าร่วมการชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่ปี 2563  โอ๋รู้ว่าแอมป์ทำม็อบ แต่ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าหน้าที่หลัก ๆ เป็นยังไง “เห็นด้วยกับเขา สนับสนุน ไปส่งที่ชุมนุมบ้าง แต่ก็ได้เตือนว่า ขอแค่เรื่องเดียว อย่าพูดเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ฯ”  

เพื่อนที่อยู่ในวงสนทนาเล่าว่าในทุกครั้ง โอ๋พยายามทำให้แอมป์เข้าใจเรื่องราวที่ถกกันในเชิงพรรณนา ชวนนึกถึงบทละครโรมิโอแอนด์จูเลียต ของวิลเลียม เชคสเปียร์ ที่เป็นบทเป็นกลอน ค่อนข้างละเมียดละไม แต่ความรักที่ละเมียดละไมนั้น กลับถูกเจือด้วยความเศร้าจริง ๆ เมื่อวันหนึ่งแอมป์ต้องเข้าไปอยู่ในเรือนจำ หลังคำพิพากษาคดีปราศรัยในการชุมนุม #นับ1ถึงล้านคืนอำนาจให้ประชาชน เมื่อวันที่ 13 ก.พ. 2564 และเขายังมีคดีรอการสืบพยานอยู่อีกหลายคดี

______________________

.

จดหมายฉบับที่ 2 กำลังใจจากที่ไกล ๆ 

สวัสดีครับพี่โอ๋สุดที่รัก เป็นไงบ้าง เหนื่อยมากไหมครับ แอมป์เป็นกำลังใจให้จากข้างในนี้นะครับ สู้ ๆ นะ ไม่อยากให้ต้องมาเหนื่อย เพราะเรื่องเงินบ่อย ๆ เค้าอยู่ข้างในก็คิดถึงโอ๋อยู่ทุกวัน อยากกอดหอมโอ๋ โอ๋จะได้มีกำลังใจสู้กับเรื่องต่าง ๆ  

สำหรับโอ๋ที่อยู่ข้างนอก การปรับตัวกับชีวิตที่ไม่มีแอมป์เป็นเรื่องที่ยากลำบาก การเยี่ยมเป็นภารกิจสำคัญที่ต้องเตรียมตัวทุกครั้ง “ทุกวันที่ต้องไปเยี่ยม อันดับแรกคือเตรียมเงินเป็นเรื่องหลักเลย และเตรียมเรื่องจากภายนอกไปเล่าให้แอมป์ฟัง” โอ๋เล่าด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยน “เพราะเรื่องราวข้างในเป็นเรื่องเดิม ๆ ทุกอย่าง แอมป์อยากฟังเรื่องใหม่ ๆ”

การเปลี่ยนแปลงจากชีวิตที่เคยอยู่ด้วยกัน ไปไหนก็มีแต่เขา ในวันที่ไม่มีใครยังมีเขา แล้วเมื่อแอมป์ไม่อยู่ โอ๋ต้องเผชิญกับความไม่รู้ที่ทรมาน “ตอนแรกที่เข้าไป ผมไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน อยู่กับใคร ทำอะไรอยู่ เจอใครบ้าง เป็นยังไงบ้าง ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับในคุกเลย”

ด้วยความไม่ทราบชะตากรรมว่าข้างในแอมป์จะเผชิญกับอะไร โอ๋จึงต้องค่อย ๆ เรียนรู้ ดูคลิปวิดีโอคนที่เคยอยู่ในคุกมาแล้วออกมาเล่า ดูหนังเกี่ยวกับคุก เช่น  ‘วัยหนุ่ม’ ทั้งมีความคิดที่จะเรียนนิติศาสตร์ด้วย เผื่อจะใช้ความรู้ทางกฎหมายช่วยเหลือแอมป์ได้อีกทาง แต่ทั้งหมดนี้ก็ไม่สามารถเยียวยาความเจ็บปวดในใจได้ “กว่าจะผ่านช่วงสัปดาห์แรก ๆ ได้ ต้องถือว่าสูญเสียการใช้ชีวิตไปเลย” โอ๋สะท้อนถึงตัวเอง

ความเจ็บปวดนี้แสดงออกมาอย่างชัดเจน “ร้องไห้จะเป็นจะตาย ผมอยู่คนเดียวไม่ได้ ต้องอยู่กับเพื่อนตลอดเวลา กอดลูก (สุนัขที่เลี้ยงด้วยกัน) ตลอดเวลา ใจจะขาด มันเลวร้ายมากเลยนะ ที่คน ๆ หนึ่งหายไป”

โอ๋เล่าอย่างตรงไปตรงมาว่าไม่มีวันไหนที่ไม่ร้องไห้ และเมื่อคิดถึงแอมป์ครั้งใดจะพิมพ์จดหมายไปในโดมิเมล์ เพื่อจะส่งถึงเป็น Love Letter ที่ไม่มีกำแพงใดกั้นความรู้สึกและความรักของพวกเขาไว้ได้

นอกจากจดหมายแล้ว การพบกันในแต่ละครั้งที่เข้าเยี่ยมในเรือนจำ ถือเป็นเวลา 20 นาที ที่มีคุณค่ามากที่สุด ยิ่งการได้เจอกันทุกครั้งผ่านการสบสายตาอันเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก “แต่โมเม้นต์นั้นใน 20 นาที มันไม่พอ จากชีวิตข้างนอกที่พูดคุยกันช้า ๆ แต่ตอนนี้เมื่อเจอกันต้องเร่งสปีดการพูดคุยให้เร็วขึ้น”  โอ๋เล่าวิถีแห่งการสนทนาที่ต้องเปลี่ยนไปของทั้งคู่

ท่ามกลางความไม่แน่นอนในอนาคตอันใกล้ โอ๋ยังคงกังวลเรื่องการสื่อสาร “กังวลเรื่องการปิดโดมิเมล์ ในวันที่ 16 มิ.ย. ที่จะถึงนี้ ก็อยากให้ช่องทางการสื่อสารทางนี้กลับมาเหมือนเดิม เพราะโดมิเมล์มันมีความหมายกับผมมาก การเยี่ยม 20 นาทีมันไม่เคยพออยู่แล้ว” 

______________________

.

จดหมายฉบับที่ 3  ยืนยันในสัญญา

โอ๋ครับ แอมป์คิดถึงโอ๋มากเลยนะ อยู่ในนี้ก็ไม่ค่อยสบายหรอกแต่ก็อยู่ได้ ทุกวันนี้เค้าคิดถึงแต่เวลาที่ได้อยู่ร่วมกัน อนทนรอเค้านะครับที่รัก เค้าจะรักษาสัญญาที่ให้โอ๋ไว้ เค้าอยากได้ประกันเร็ว ๆ จัง อยากเห็นโอ๋ได้ยิ้มแล้วรอรับเขาเหมือนครั้งแรกอีกจัง รู้ไหมวันนั้นโอ๋น่ารักมาก ๆ เลยนะ เค้าจะยืนยันอีกครั้งว่าเค้าอยากอยู่กับโอ๋ตลอดไป 

การพบกันครั้งแรกหลังจากที่แอมป์เข้าเรือนจำเป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกสะเทือนใจ “หลังจากแอมป์เข้าเรือนจำก็ไปเจอที่ศาล ผมไปรอตั้งแต่ 7 โมงเช้า ไปคนเดียว รอจนกว่าเขาจะมา ก็เห็นเขาโกนหัว ใส่ชุดผู้ต้องขัง ก็แบบเศร้า” โอ๋อธิบายความรู้สึกครั้งนั้น

“ด้วยลูกตาของแอมป์ข้างหนึ่งมองเห็นแค่ 20 % พูดกันตามตรงคือแอมป์มองเห็นแค่ข้างเดียว แล้วแอมป์เดินผ่านโอ๋ ตอนนั้นก็ไม่เห็นโอ๋ โอ๋เจอสภาพแบบนี้ ถึงกับร้องไห้”

แต่โอ๋ก็ยังเลือกที่จะไปยืนอยู่ตรงนั้น “ต่อให้คุณเห็นหรือไม่เห็น แต่เราก็อยู่เคียงข้างคุณเสมอ” และเมื่อแอมป์ถามหาโอ๋ เขาจึงเดินเข้าไปหาคนรัก ด้วยความเข้าใจในส่วนลึก “ทั้งหมดเป็นเรื่องการถูกลิดรอนสิทธิประกันตัวของผู้ต้องขังทางการเมืองคนหนึ่ง และตอนนั้นก็กอดกันร้องไห้อย่างเดียว”

ท่ามกลางความยากลำบาก ทั้งสองได้ให้คำสัญญาแห่งความรักที่แน่วแน่ แอมป์บอกว่า “ไม่ต้องรอเขา ไปมีคนอื่นก็ได้” แต่โอ๋ตอบว่า “จะทำแบบนั้นได้ไง ทำไม่ลงหรอก ก็บอกว่าจะรอเขา”

ด้วยความเข้าใจแอมป์ที่อยู่ข้างในคงจะคิดเยอะ ทั้งยอมรับชะตากรรมว่าคงต้องใช้เวลาอยู่ข้างในนั้น และคงไม่เหมาะสมกัน แต่ทางโอ๋ก็เป็นฝ่ายที่ทำให้แอมป์มั่นใจว่า ไม่ว่าจะเป็นยังไง ก็จะอยู่เคียงข้างเธอไป ไม่ว่าจะดีร้าย สุขทุกข์ยังไง ก็จะอยู่ 

แม้สถานการณ์นี้ทำให้ความฝันที่เคยมีต้องถูกเลื่อน “สำหรับความฝันของโอ๋กับแอมป์ ไม่มีฝันอะไรเลย คิดว่าจะอยู่กันไปเรื่อย ๆ ชีวิตแบบแฮปปี้แล้ว ยังไม่มีอะไรเป็นรูปเป็นร่าง”

แต่วันเวลาเหล่านี้ทำให้ต่างคนต่างเรียนรู้ถึงความหมายของการมีกันและกัน โอ๋เล่าด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหวัง “เข้าใจเวลาและคุณค่าที่มันเสียไป ได้วาดฝันไว้ว่าอยากชดเชยเวลาที่หายไป และอยากมีบ้านหลังหนึ่งกับเขาที่เต็มไปด้วยเพื่อน ๆ เพราะผมชอบอยู่กับเพื่อน และแอมป์ก็เข้ากับเพื่อนผมได้ดี”

ความฝันที่ว่านี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่การมีชีวิตร่วมกัน แต่ยังรวมถึงการสร้างอาชีพด้วยกัน เพราะโอ๋เล่าถึงคนรักว่าแอมป์เป็นคนทำอาหารอร่อย โดยเฉพาะเมนูยำ “แอมป์เคยสื่อสารผ่านบันทึกเยี่ยมผู้ต้องขังว่าอยากทำร้านยำ โอ๋ประทับใจในเมนูยำหมูกรอบที่แอมป์เคยทำให้ทาน ทั้งวาดฝันอยากทำร้านอาหาร”

นอกจากแผนการทำธุรกิจแล้ว ยังมีสิ่งที่ทั้งคู่ดูแลร่วมกัน นั่นคือทั้งสองเลี้ยงหมาเฟรนช์ บูลด็อก ชื่อ “ไมดัส” อายุประมาณ 1 ขวบ โดยก่อนหน้านี้แอมป์เป็นคนป้อนข้าวให้ทุกวัน รวมทั้งอาบน้ำให้

การที่แอมป์ต้องพรากจากบ้านไปอยู่ในเรือนจำ ไม่เพียงกระทบต่อโอ๋เท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อสัตว์เลี้ยงของพวกเขาด้วย 

“สัปดาห์แรกไมดัสเฝ้ารอแอมป์ ให้เปิดประตูให้ ไมดัสเป็นหมาที่ฉลาดเข้าใจคน ฟังคนรู้เรื่องหมดเลย เหมือนเจ้าของมาก สนุกเต็มที่ อะเลิร์ต ชอบสะเหล่อเหมือนแอมป์” โอ๋กล่าวอย่างติดตลก พร้อมรอยยิ้มจาง ๆ ที่สะท้อนถึงความคิดถึงทั้งคนรักและช่วงเวลาที่ครอบครัวเล็ก ๆ ของพวกเขายังครบครัน

______________________

.

จดหมายฉบับที่ 4  ขอบคุณจากหัวใจ ที่ยอมรับในตัวตน

การได้อยู่กับโอ๋ทำให้แอมป์สบายใจ แล้วทำให้แอมป์กล้าที่จะเป็นตัวของตัวเองได้อย่างเต็มที่ ขอบคุณนะครับที่รัก และยอมรับในตัวตนที่แอมป์เป็นได้จริง ๆ โอ๋คือความสุขที่แอมป์ตามหานะครับ ถ้าไม่มีโอ๋ แอมป์คิดว่าคงไม่มีพลังความกล้ามากพอที่จะออกมาต่อสู้กับสิ่งต่าง ๆ ที่กำลังเผชิญหน้าอยู่ได้ แอมป์รับรู้ว่าการที่จะออกไปช่วยเหลือหรือเคลื่อนไหวอะไร กำลังใจสำคัญมาก

ประสบการณ์นี้ในอีกด้านหนึ่งแม้จะเป็นเรื่องเลวร้าย แต่ในอีกทางกลับทำให้โอ๋เติบโตและเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี  “ผมว่าผมเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ตรงต่อเวลามากขึ้น มีกระบวนการคิดที่รอบคอบขึ้น มีแพลนในชีวิต จากเดิมที่ใช้ชีวิตแบบไม่คิดถึงอดีต ไม่คิดถึงอนาคต และอยากอยู่กับปัจจุบัน แต่พอพบเหตุการณ์นี้จึงมองเรื่องแพลนและอนาคตเข้ามา”

การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงตัวเขาเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อวิธีมองความสำคัญของคนรัก “ถ้ากลับมาครั้งนี้โอ๋ จะให้เกียรติแอมป์มากขึ้น จะเคารพแอมป์ และรักในตัวตนของเขา จะไม่เปลี่ยนแปลงเขา และจะทำให้เขามีความสุขที่สุดจนคนอื่นอิจฉา จะถ่ายภาพด้วยกันมากขึ้น ไปไหนด้วยกันมากขึ้น”

ท่ามกลางการรอคอยที่ยาวนาน โอ๋สัมผัสได้ถึงความรู้สึกของเวลาที่ผ่านไปช้าเหลือเกิน “บางคนอาจจะเห็นว่าแบบแค่ปีเดียว แต่ 1 เดือนสำหรับผมมันเหมือน 1 ปี นะ แล้วยิ่งในนั้น 1 ชั่วโมงของแอมป์ อาจจะเหมือน 1 วันก็ได้ เพราะมันไม่มีอะไรทำเลย”

ความว่างเปล่าในชีวิตประจำวันในเรือนจำเป็นสิ่งที่โอ๋เข้าใจดี เขาจึงพยายามหาทางช่วยเหลือแม้จะมีข้อจำกัด “ก็อ่านจบในสามวัน โดยเดือนหนึ่งให้ส่งแค่วันที่ 1-10 จะได้หนังสือตอนสิ้นเดือน และได้เพียงเดือนละ 1 เล่ม” โอ๋เล่าถึงการส่งนิยายเล่มหนาๆ เข้าไปให้แอมป์ แต่ด้วยกฎระเบียบที่เข้มงวด แม้แต่การอ่านหนังสือเพื่อฆ่าเวลาก็ยังต้องรอคอยและเต็มไปด้วยข้อจำกัด

______________________

.

จดหมายฉบับที่ 5  สร้างโลกใบใหม่ด้วยรัก

ตอนนี้เค้ามีเป้าหมายแล้วนะ เค้าอยากอยู่กับโอ๋ในสังคมที่เป็นธรรมและเคารพความคิดเห็นซึ่งกันและกัน ไม่รู้นะว่าโอ๋จะเห็นด้วยกับเค้าไหม แต่เค้าอยากสร้างมันขึ้นมากับโอ๋นะ ขอบคุณโอ๋มาก ๆ นะที่เกิดมาให้เค้ารัก และขอบคุณมาก ๆ นะ ที่ให้ความรักเค้ากลับมา

“ในเดือน Pride Month แน่นอนแหละ ความเท่าเทียม การยอมรับในตัวตนของทุกคน ไม่มีเพศสภาพ และผมดีใจกับเรื่องสมรสเท่าเทียม รอวันแอมป์ออกมา ก็จะจดทะเบียนสมรสกัน”  โอ๋เล่าด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหวัง “และแอมป์ก็สื่อสารออกมาตอนที่สมรสเท่าเทียมผ่านกำแพงเรือนจำว่าเขารู้สึกยังไง โอ๋อ่านแล้วก็มีความตั้งใจว่า ถ้าแอมป์ออกมาจะแต่งงานกัน”

แม้จะมีความหวังอันแน่วแน่ แต่ภายในกำแพงเรือนจำยังคงเป็นสิ่งที่ไม่อาจคาดเดาได้ “ผมไม่รู้หรอกว่าข้างในเขาจะเป็นยังไง ก็เป็นห่วงเขาเสมอไม่ว่าจะอยู่ตรงไหน ไม่ว่าต้องแลกกับอะไร อยากให้เขาอยู่อย่างสบายก็พอ”

ถึงวันนี้โอ๋ยังคงนั่งรอด้วยความหวังที่จะได้จดทะเบียนสมรสกับแอมป์ เมื่อกำแพงแห่งกฎหมายล้มลง และความรักจะได้กลับมาอยู่ร่วมกันอีกครั้ง ในโลกที่ไม่มีกำแพงกั้น และเสรีภาพในการรักที่แท้จริง

.

——————————-

จนถึงปัจจุบัน (14 มิ.ย. 2568) แอมป์ถูกคุมขังมาแล้ว 188 วัน ด้วยบทบาทเคลื่อนไหวทางการเมืองของคนรุ่นใหม่ในช่วงปี 2563-2565 แอมป์ถูกดำเนินคดีรวมทั้งสิ้น 20 คดี โดยปัจจุบันคดีที่สิ้นสุดลงแล้ว 8 คดี รวมทั้งคดีที่เขาถูกคุมขังอยู่นี้ ที่เขาตัดสินไม่ฎีกาต่อ ส่วนที่เหลือเขายังคงต้องต่อสู้คดีต่อไป

สามารถเขียนจดหมายออนไลน์ถึงแอมป์ผ่านโครงการ Free Ratsadon โดยแอมเนสตี้อินเตอร์เนชั่ลแนล

.

อ่านเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

Pride Month ปีนี้ “แม็กกี้” ผู้ต้องขังคดี ม.112 ขอร่วมผลักดันให้ผู้มีความหลากหลายทางเพศในเรือนจำมีสิทธิเทคยาฮอร์โมน

เมื่อสุริยน ย่ำ (แดน) สนธยา: คุณค่าความเป็นมนุษย์ของผู้ต้องขัง LGBTQ+ ใต้กะลาเรือนจำสองเพศ

X