10 มิ.ย. 2568 เวลา 9.00 น. ศาลจังหวัดชุมพรนัดฟังคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 8 ในคดีของ “โอ๊ต” วรพล อนันตศักดิ์ อายุ 29 ปี อดีตไรเดอร์และอดีตผู้สมัคร สส. จังหวัดชุมพร ซึ่งถูกฟ้องในข้อกล่าวหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (3) กรณีอัปเดตภาพโปรไฟล์ในเฟซบุ๊กส่วนตัวเมื่อวันที่ 28 ก.ค. 2564
เดิมศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 2 ปี โดยให้รอลงอาญาไว้ 5 ปี และให้คุมประพฤติ 3 ปี โดยฝ่ายจำเลยได้ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาต่อมา ก่อนศาลอุทธรณ์ภาค 8 ได้มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น โดยเห็นว่าไม่มีเหตุให้เปลี่ยนแปลงโทษ
.
จำเลยยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น เห็นว่าให้รอการลงโทษถึง 5 ปี สูงเกินไป
คดีนี้มี พ.ต.ท.ธานี นาคหกวิค ผู้กำกับการสืบสวนภูธรจังหวัดชุมพร เป็นผู้กล่าวหาไว้ที่ สภ.เมืองชุมพร วรพลเข้ารับทราบข้อหาตามหมายเรียกเมื่อวันที่ 14 ธ.ค. 2565 โดยถูกกล่าวหาจากการเปลี่ยนรูปภาพโปรไฟล์เฟซบุ๊ก พร้อมกับมีข้อความคำราชาศัพท์ ซึ่งผู้กล่าวหาเห็นว่าไม่เป็นความจริง และเป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ และนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคง
ก่อนเริ่มสืบพยาน จำเลยได้ตัดสินใจให้การรับสารภาพตามข้อกล่าวหา ศาลจึงให้สืบเสาะและพินิจพฤติการณ์จำเลยเพิ่มเติม ก่อนนัดฟังคำพิพากษา
จนเมื่อวันที่ 26 มิ.ย. 2567 ศาลจังหวัดชุมพรมีคำพิพากษาเห็นว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้อง ลงโทษตามมาตรา 112 จำคุก 4 ปี ให้การรับสารภาพ ลดเหลือจำคุก 2 ปี ศาลเห็นว่าจำเลยไม่ได้กระทำการอย่างอื่นนอกเหนือไปจากการโพสต์รูปภาพและข้อความตามฟ้อง ลักษณะการกระทำโดยสภาพไม่อาจส่งผลให้ประชาชนเสื่อมความศรัทธาในสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่เคารพรักของประชาชนชาวไทยได้
ประกอบกับไม่ปรากฏว่าจำเลยมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในลักษณะเดียวกันอีก ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยกระทำความผิดมาก่อน โทษจำคุกจึงให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 5 ปี ให้คุมความประพฤติมีกำหนด 3 ปี โดยให้ไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 9 ครั้ง ให้จำเลยกระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ เป็นระยะเวลา 48 ชั่วโมง และให้จำเลยละเว้นการคบหาสมาคมหรือการประพฤติใดอันอาจนำไปสู่การกระทำความผิดในทำนองเดียวกันอีก และให้เข้าร่วมกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ตามที่พนักงานคุมประพฤติเห็นสมควร
ต่อมาจำเลยได้ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษา โดยเห็นว่าการรอการลงโทษมีกำหนด 5 ปี เป็นการกำหนดระยะเวลาที่เกินความจำเป็น ไม่พอสมควรแก่เหตุ และไม่ได้สัดส่วน จำเลยมีเหตุบรรเทาโทษกว่าคำพิพากษาของศาลชั้นต้นได้ ทั้งการมีถิ่นที่อยู่และการงานเป็นหลักแหล่ง ประกอบอาชีพโดยสุจริตเป็นกิจจะลักษณะ เป็นเรี่ยวแรงช่วยเหลือครอบครัว ไม่เคยกระทำความผิดใดมาก่อน ในคดีก็ได้ให้ความร่วมมือกับเจ้าพนักงานเรื่อยมา และให้การรับสารภาพอันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาของศาล และหลังคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ก็ได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาอย่างเคร่งครัด
โดยอุทธรณ์ของจำเลย ยังได้ยกแนวคำพิพากษาในคดีมาตรา 112 ในพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งจำเลยให้การรับสารภาพ อย่างคดีที่จังหวัดพังงา ที่ศาลให้รอการลงโทษจำคุกมีกำหนด 2 ปี และคุมความประพฤติจำเลยไว้ 1 ปี จึงขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค 8 แก้ไขโทษจากคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
.
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืน เห็นว่าไม่มีเหตุให้เปลี่ยนแปลงแก้ไขโทษ
วันนี้ จำเลยพร้อมทนายความเดินทางมาฟังคำพิพากษา ศาลจังหวัดชุมพรอ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 8 โดยสรุป มีประเด็นต้องวินิจฉัยว่า มีเหตุสมควรเปลี่ยนแปลงโทษในคำพิพากษาของศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่าจำเลยเป็นประชาชนชาวไทยและเคยรับราชการทหารมาก่อน ย่อมรู้สึกดีว่าสถาบันพระมหากษัตริย์มีคุณต่อแผ่นดินและประชาชนชาวไทย องค์พระมหากษัตริย์จึงทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ประชาชนชาวไทยต้องสนองคุณของแผ่นดินด้วยการแสดงความจงรักภักดีต่อองค์พระมหากษัตริย์
แต่จำเลยกลับการกระทำอันเป็นการจาบจ้วงให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท ด้วยการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น แสดงความอาฆาตมาดร้ายองค์พระมหากษัตริย์ ที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลย เป็นคุณแก่จำเลยมากแล้ว ไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงแก้ไข พิพากษายืน
สำหรับวรพล เคยเป็นอดีตไรเดอร์รถจักรยานยนต์ส่งอาหาร และเป็นเลขาธิการเครือข่ายปกป้องสิทธิและเสรีภาพ นักเรียน-นักศึกษา (NASP) ก่อนเข้าร่วมงานกับพรรคอนาคตใหม่ และตัดสินใจลงสมัคร สส. ในช่วงการเลือกตั้งซ่อมเขต 1 ของจังหวัดชุมพร เมื่อช่วงเดือนมกราคม 2565 โดยได้คะแนนมาเป็นอันดับที่สาม แต่หลังจากนั้นก็ไม่ได้ลงสมัครอีก
น่าสังเกตว่าการดำเนินคดีเกิดขึ้นภายหลังเขาลงรับสมัครเลือกตั้งดังกล่าวแล้ว ไม่ได้เกิดขึ้นในทันทีภายหลังการโพสต์โปรไฟล์เฟซบุ๊กดังกล่าวเมื่อปี 2564 และเท่าที่ทราบข้อมูล เป็นคดีมาตรา 112 คดีแรกที่เกิดขึ้นที่จังหวัดชุมพร
.
ย้อนอ่านเรื่องของวรพล
จาก “เพื่อน” ถึง “วรพล” อีกผู้เผชิญข้อหา 112: เมื่อกฎหมายถูกหยิบใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง?