เช่นเดียวกับผู้ออกมาเคลื่อนไหวหลาย ๆ คน จุดเริ่มต้นในเส้นทางของ “ต่อ” (สงวนชื่อสกุล) เกิดขึ้นเมื่อปี 2563 ช่วงเวลาที่เหล่าประชาชนต่างลงถนน การชุมนุมจัดขึ้นทั่วสารทิศ คนรุ่นใหม่จำนวนมากต่างออกมาใช้สิทธิของตนในการแสดงออกถึงจุดยืนและอุดมการณ์ของตัวเอง ไม่ว่าข้อเรียกร้องของแต่ละกลุ่มหรือปัจเจกชนแต่ละคนจะแตกต่างกันอย่างไร แต่จุดร่วมนั้นไม่ต่างกันคือภาพหวังถึงกลไกและระบบการเมืองที่ดีขึ้นกว่าเดิม
ในช่วงปีนั้น ด้วยวัยเข้าใกล้เลข 3 แม้ต่ออาจไม่ได้มองว่าตนเองเป็นคนรุ่นเดียวกับคนรุ่นใหม่ที่ออกมาเรียกร้องซะทีเดียว แต่เขาก็รับรู้ว่าเด็ก ๆ เหล่านี้ และตัวเขาเองต่างก็วาดฝันถึงอนาคตของประเทศในลักษณะที่ไม่แตกต่างกัน
เขายังจำได้ดี ถึงช่วงเวลาที่ทำงานอยู่ที่ร้านขายเสื้อผ้าและอุปกรณ์กีฬาแห่งหนึ่ง บริเวณสยามสแควร์ ภาพของคนรุ่นใหม่ทั้งนิสิตนักศึกษาและนักเรียนมัธยมที่ในแววตาเต็มไปด้วยอุดมการณ์และความตื่นตัวยังคงประทับอยู่ในใจเขา ทุกครั้งที่มีโอกาส หากมีการชุมนุมเกิดขึ้น หลังเลิกงาน เขาจะพาตัวเองตรงดิ่งไปเข้าร่วมอย่างไม่รีรอ
ในเวลาต่อมา ต่อได้เปลี่ยนอาชีพมาเป็นไรเดอร์ให้กับแอปพลิเคชันส่งอาหารเจ้าหนึ่ง ด้วยลักษณะงาน ทำให้ต่อมีโอกาสได้ขับผ่านไปในบริเวณใกล้กับการชุมนุมอยู่บ่อยครั้ง และในหลาย ๆ ครั้งก็เป็นตัวเขาเองที่เลือกจะเข้าไปร่วมการชุมนุมที่ใกล้เคียง เพื่อร่วมเป็น 1 เสียงและเป็น 1 จำนวนนับที่เสริมพลังให้กับการเคลื่อนไหว
10 พ.ย. 2564 ต่อถูกกล่าวหาว่า เป็นผู้วางเพลิงพระบรมฉายาลักษณ์ของรัชกาลที่ 10 ซึ่งติดตั้งอยู่ที่สวนหย่อมใต้ทางต่างระดับบางคูเวียง อ.บางกรวย จ.นนทบุรี มีความผิดตามในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 “หมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ”, มาตรา 217 “วางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่น” และมาตรา 358 “ทำให้เสียทรัพย์”
ตัวเขายอมรับว่าเป็นผู้ทำจริง แต่การกระทำไม่เข้าองค์ประกอบมาตรา 112 ก่อนศาลจังหวัดนนทบุรีพิพากษาว่าเขามีความผิดตามมาตรานี้ด้วย ลงโทษจำคุก 3 ปี โดยไม่รอลงอาญา
ก่อนเข้าฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 แม้จะมีความกังวลกับชีวิตของตนหลังจากนั้น แต่ไฟในตัวของต่อยังคงโชติช่วง เต็มเปี่ยมด้วยความหวัง แม้เขาอาจต้องสูญสิ้นอิสรภาพ
.
การเมืองใหม่ – ภาพฝันถึงการเมืองดีที่โชติช่วงขึ้นในใจ
ต่อเกิดที่กรุงเทพฯ มีพี่น้อง 3 คน แม้จะเคยย้ายไปเรียนอยู่ที่เพชรบูรณ์ระยะหนึ่งในช่วงประถม และมีพ่อแม่ที่อาศัยอยู่ที่ต่างจังหวัด แต่ช่วงชีวิตส่วนใหญ่ของเขาอยู่ในเมืองหลวง เขาจึงรู้สึกว่าตนเองเป็นคนกรุงเทพฯ มากกว่า
เขาเติบโตมาในบ้านที่เลือกพรรคไทยรักไทยและยึดมั่นในอุดมการณ์ของกลุ่มการเมืองสีแดงมาโดยตลอด แต่ด้วยวัฒนธรรมภายในบ้านที่ไม่ได้มีบทสนทนาเกี่ยวกับการเมืองเท่าใดนัก ก็ทำให้เขาเองไม่ได้มีความรู้สึกร่วมเท่าใดนัก และไม่สนใจที่จะฝักใฝ่ในขั้วการเมืองใด
แม้ในสมัยวัยรุ่น เขาอาจไม่ได้สนใจการเมืองเข้มข้น แต่สิ่งที่ติดตัวมาเสมอคือการรู้สึกถึงความไม่เป็นธรรมจากอำนาจที่กระทำต่อคนตัวเล็กตัวน้อย เขามักมีปากเสียงกับเจ้าหน้าที่รัฐ โดยเฉพาะในโรงพยาบาลรัฐ เมื่อเจ้าหน้าที่หรือพยาบาลปฏิบัติต่อประชาชนไม่เหมาะสม
เขาเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติของบ้านเมือง เมื่อตัวเองต้องไปเกณฑ์ทหาร ในขณะนั้นเป็นช่วงเวลาที่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นผู้บัญชาการทหารบก ภายใต้รัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และเขาก็ต้องประหลาดใจเมื่อปลดประจำการออกมา หน้าตาของผู้นำประเทศกลับเป็นชายคนเดียวกันกับที่เคยนำกองทัพ
หลังจากนั้น การก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ ในช่วงปี 2561 ก็นำมาซึ่งความหวังให้เขาทั้งตัวตนและจุดยืนอันชัดเจนในอุดมการณ์ของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคนั้นกระทบกับใจเขาเต็ม ๆ
“เขา (ธนาธร) เขากล้าพูด กล้าที่จะทำ กล้าคิดที่จะเปลี่ยน และถ้าเขาได้ เขามีอำนาจเปลี่ยน ผมไม่มีอำนาจ แต่ผมให้อำนาจเข้าได้”
เขาเองก็ร่วมเป็น 1 ใน 6 ล้านเสียงที่ส่งนักการเมืองของพรรคเข้าสู่สภา ในการเลือกตั้งปี 2562
จนกระทั่งการเคลื่อนไหวของคนรุ่นใหม่ในปี 2563 ต่อก็เป็นหนึ่งในคนที่เข้าร่วมอยู่บ่อยครั้ง และหนึ่งในการชุมนุมครั้งสำคัญที่เขาได้เข้าร่วมก็คือ #16ตุลาไปแยกปทุมวัน ซึ่งจัดขึ้นในบริเวณเดียวกับที่เขาทำงานอยู่ ต่อได้ไปเข้าร่วมและเป็นประจักษ์พยานการสลายการชุมนุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ด้วยสารเคมีสีฟ้าและน้ำผสมแก๊ซน้ำตา เขายังคงจำภาพเหตุการณ์ในวันนั้นได้ดี
“ผมเห็นแม่เลิกงานแล้วอุ้มลูกมา แล้วตำรวจฉีดน้ำไปใส่ แล้วก็ตอแหลนู่นนี่นั่นไป มีแต่ข่าวในไลฟ์สด แต่ไม่มีข่าวช่องหลักช่องไหนนำเสนอ หงุดหงิดมากเลย”
เมื่อเข้าร่วมการชุมนุมในครั้งต่าง ๆ เขาชอบฟังการปราศัยของ ไผ่-จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา เป็นพิเศษ เขารู้สึกว่าฟังแล้วสามารถเข้าใจได้ง่าย และในฐานะคนที่เขาร่วมการชุมนุมที่มีเด็ก ๆ และคนรุ่นใหม่เป็นตัวตั้งตัวตีอยู่บ่อยครั้ง เขายืนยันว่าการชุมนุมเหล่านี้ไม่ได้มีเจตนาไม่ดีหรือเป็นภัยแต่อย่างใด
นอกจากจะเข้าไปร่วม เขาก็ยังแสดงออกทางการเมืองผ่านการโพสต์ข้อความต่าง ๆ ลงในพื้นที่โซเชียลส่วนตัว แม้จะต้องมีปากเสียงกับพี่น้องอยู่เสมอ ที่คอยปรามและเตือนเขาว่าอย่าไปแสดงออกใด ๆ ให้ตั้งใจทำงานดีกว่า แต่เขาก็ไม่ได้ล้มเลิก
ในเวลาต่อมา หลังจากต่อได้ลาออกจากร้านขายเสื้อผ้าและอุปกรณ์กีฬาที่สยาม เขาเลือกหาเลี้ยงชีพด้วยการเป็น ‘ไรเดอร์’ ขับรถรับส่งอาหารและสิ่งของต่าง ๆ ให้กับแอปพลิเคชันขนส่ง ที่ในเวลานั้นเริ่มมีคนสนใจทำมากขึ้น เนื่องจากมีอิสระในการทำงาน
ด้วยวิถีสองล้อในงานใหม่ ทำให้เขามีโอกาสได้ขับรถไปส่งของและอาหารตามสถานที่ต่าง ๆ ทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล ทำให้เขาได้สัญจรไปในบริเวณที่ชุมนุมในหลาย ๆ ครั้งทั้งโดยตั้งใจและโดยบังเอิญ และเขายังติดตามข่าวการชุมนุมอยู่เสมอ ทำให้สามารถไปเข้าร่วมได้อย่างยืดหยุ่นหากเวลาอำนวย
ด้วยเนื้อหาการชุมนุมที่ขยายเพดานจนถึงการสื่อสารถึงการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ เขายอมรับว่าความรู้สึกและทัศนคติเปลี่ยนไป หลังจากได้เข้าร่วมฟังการชุมนุมในหลาย ๆ ครั้ง แต่ตัวเขาเองไม่ได้เชื่อในสิ่งที่แกนนำพูดทุกอย่าง อีกส่วนหนึ่งที่เปลี่ยนความคิดของเขามาจากการค้นคว้าและหาข้อมูลด้วยตนเองด้วย
.
ความเครียด กังวล โทษตัวเอง แต่ไม่เคยเสียใจที่แสดงออกทางการเมือง
หลังจากโดนคดี สิ่งที่ตามมาคือความกังวลและความเครียด ยามเมื่อนึกถึงคดีของตัวเอง บางครั้งเขาจะมีอาการปวดหัวคล้ายไมเกรน จนไปถึงเครียดจนอ้วกออกมา ซึ่งเขามักแก้ปัญหาด้วยการซื้อยากินเอง
ความเครียดดังกล่าวมาจากความกังวลเรื่องพ่อแม่ที่กำลังป่วยซึ่งอาศัยอยู่ที่ต่างจังหวัด เขากลัวว่าหากศาลตัดสินว่าเขามีความผิดและต้องเข้าไปอยู่ในเรือนจำ จะทำให้กำลังในการส่งเสียดูแลพ่อแม่นั้นขาดหายไป
นอกจากนี้ ที่บ้านซึ่งเขาอาศัยอยู่ที่นนทบุรี นอกจากพี่น้องและญาติ ๆ แล้ว ยังมีสุนัขอีกหลายตัว ที่สำคัญยังมีแมวอีก 2 ตัวซึ่งเป็นแมวของต่อเอง ซึ่งเขาผูกพันและเลี้ยงพวกมันมาตั้งแต่ยังเด็ก หากเขาต้องเข้าไปอยู่ข้างใน ก็อดที่จะรู้สึกเป็นห่วงแมวทั้งสองไม่ได้
ความเครียด ความกังวล รวมไปถึงภาระที่อยู่ข้างหลัง ทำให้เขาโทษตัวเองที่ทำให้พ่อแม่ต้องเป็นกังวลและเสียใจ และยังรู้สึกกลัวหากไม่ได้ประกันตัว แต่เขายังคงยืนยันว่าความคิดและอุดมการณ์ของเขาไม่ได้เปลี่ยนไป มวลความรู้สึกที่ถาโถมเหล่านี้เกิดขึ้นจากการเห็นผลกระทบที่ตามมากับคนรอบ ๆ ตัว ไม่ใช่เพราะความเสียใจที่เคยแสดงออกทางการเมือง
หลังโดนคดี เพื่อไม่ให้พ่อแม่พี่น้องรวมถึงคนรักต้องเป็นห่วง เขาก็ลดการแสดงออกทางการเมืองตามโซเชียลลง ยังคงติดตามข่าวสารอยู่เสมอ แต่อาจไม่ได้กดติดตามใครเพิ่ม หรือกดไลก์โพสต์ใด ๆ การปรับพฤติกรรมของเขา ทำลงไปเพราะไม่อยากให้คนรอบข้างต้องเป็นกังวล อย่างไรก็ดี ความรู้สึกข้างในที่อยากจะแสดงออกทางการเมืองยังคงมีอยู่ ไม่ได้จางหายไปแต่อย่างใด
.
ควรจะแก้ 112 “ไม่ได้เกลียดบุคคล แต่เกลียดระบบ” ยังคงมีความหวังกับการนิรโทษกรรม โดยรวม ม.112
สำหรับมาตรา 112 เขาเชื่อว่าเป็นเรื่องที่พูดถึงได้ และควรจะต้องถูกแก้ไข สำหรับต่อ เขาไม่ได้มีความเกลียดชังต่อตัวบุคคลแต่อย่างใด แต่เขามองมาตรา 112 ว่าเป็นส่วนหนึ่งของระบบที่ไม่เป็นธรรมที่ดำรงอยู่ในสังคม
“มันไม่ควรจะมีอยู่แล้วระบบพวกนี้ ไม่ได้เกลียดบุคคล แต่เกลียดระบบ”
เขาเคยคิดว่าการแก้มาตรา 112 อาจพอเป็นไปได้ ในจังหวะที่เพื่อไทยยังคงเป็นพันธมิตรกับพรรคก้าวไกล แต่หลังจากที่ทั้งสองพรรคต่างแยกทางกัน จนมาถึงปัจจุบันนั้น การที่รัฐบาลจะเสนอแก้มาตรา 112 เป็นเรื่องที่เขาไม่คาดหวังแต่อย่างใด เขามองว่าในช่วงแรก ๆ ของการจัดตั้งรัฐบาลเพื่อไทย ถ้าพรรคเพื่อไทยมีความตั้งใจจะแก้เรื่องนี้ ก็อาจยังพอทำได้ แต่ในสถานะรัฐบาลที่เต็มไปด้วยหลายขั้วหลากสีในปัจจุบัน การจะแก้มาตรา 112 ให้สำเร็จเป็นเรื่องที่เขามองว่าเป็นไปได้ยาก
หลังจากคำสั่งยุบพรรคก้าวไกลโดยศาลรัฐธรรมนูญนั้น เขารู้สึกท้อแท้กับสถานการณ์ในปัจจุบัน และก็เห็นว่าพรรคประชาชนที่ตั้งขึ้นมาแทนที่นั้นเผชิญความยากลำบากในการสื่อสารเรื่องมาตรา 112
ส่วนเรื่องการผลักดันให้ร่างกฎหมายนิรโทษกรรมที่ผ่านโดยสภานั้น เขาก็ยังคงหวังว่าเมื่อถึงจุดหมายปลายทางแล้ว การนิรโทษกรรมจะรวมมาตรา 112 เข้าไปด้วย
ส่วนเสียงที่ไม่เห็นด้วยกับการรวมมาตรา 112 เข้าไปในการนิรโทษกรรม คำตอบของต่อ ก็คือทำไมจะรวม 112 ไม่ได้และทำไมจะพูดถึงมาตรา 112 ไม่ได้
“ทำไมต้อง 112? ทำไมต้องอ้าง? ทำไมต้องพูด?… แล้วทำไมถึงจะพูด ถึงจะเปลี่ยนไม่ได้?”
เขามองว่า ไม่ว่าอย่างไร คดีมาตรา 112 ก็เป็นคดีการเมือง และสถาบันพระมหากษัตริย์เองก็เกี่ยวข้องกับการเมือง
.
ถ้าการเมืองดี ความฝันที่มีคงไม่เกินเอื้อม
หลังจากโดนคดี ต่อไม่สามารถทำงานเป็นไรเดอร์ได้อีกต่อไป เนื่องจากตำรวจมีการประสานงานมาขอข้อมูล ทำให้บริษัทไม่อนุญาตให้เขาทำงานในระบบได้ จนกว่าจะสะสางคดีนี้เสร็จสิ้น และมอเตอร์ไซด์ของเขา ยังถูกยึดไว้เป็นของกลางในคดี ปัจจุบันเขาจึงไปทำงานกับพี่ชายซึ่งประกอบอาชีพรับเหมาก่อสร้าง
เขามีความฝันส่วนตัว ที่อยากจะทำสวนผักพื้นบ้านของตนเอง โดยเน้นไปที่การปลูกผักโตไว รวมไปถึงการทำฟาร์มปศุสัตว์ เลี้ยงปลา ทำนาข้าว ซึ่งทั้งหมดนี้มาจากความชื่นชอบในด้านการเกษตรของเขา โดยสมัยเรียน ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) เขาเรียนสาขาเกษตร ถึงแม้จะเรียนไม่จบ แต่ความหลงใหลในเรื่องนี้ และความฝันที่จะทำฟาร์มเป็นของตัวเองยังคงไม่จางหายไป
เขาตั้งใจว่าไม่เกินอายุ 45 จะต้องทำความฝันของตัวเองให้สำเร็จ โดยอาจกลับไปที่ต่างจังหวัดและเริ่มทำฟาร์มของตัวเอง ในระหว่างนี้ ก็ทำงานช่วยพี่ชายเก็บเงินทุนไปพลาง สะสมความรู้ รอวันเวลาที่เหมาะสม
เขามองว่าแม้ความฝันของตัวเอง จะเป็นเรื่องการเกษตรและทำฟาร์มเล็ก ๆ แต่มันก็เกี่ยวพันกับการเมืองอย่างแยกจากการไม่ขาด เพราะการเมืองนั้นล้วนเกี่ยวพันกับทุกสิ่ง หากระบบไม่ดี การเมืองไม่ดี ก็ยากที่ความฝันของคนตัวเล็กตัวน้อยจะเป็นจริงได้
“การเมืองส่งผลแน่นอน ไม่งั้นผมคงไม่เดือดร้อน บ้านผมอยู่ติดถนนใหญ่ก็จริง แต่หากการเมืองไม่ดี ขนส่งสาธารณะไม่ดี ชีวิตความเป็นอยู่ไม่ดี แล้วเกษตรกรจะอยู่ดีได้ยังไง มันโยงกันหมด”
ต่อในวัย 32 ปี ก่อนต้องเข้าฟังคำพิพากษาชั้นอุทธรณ์ซึ่งอาจเปลี่ยนชีวิต แววตาและน้ำเสียงของเขายังเต็มเปี่ยมด้วยความหวัง
.
หมายเหตุ ก่อนหน้านี้ ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนใช้นามสมมติของ “ต่อ” ในการนำเสนอข่าว ว่า “โชติช่วง” แต่เขาแจ้งความประสงค์ให้แก้ไขเป็นชื่อ “ต่อ” แทน
.