วันที่ 28 พ.ค. 2568 เวลา 09.00 น. ศาลอาญานัดฟังคำพิพากษาคดีของ “อานนท์ นำภา” ทนายความสิทธิมนุษยชนวัย 40 ปี ในข้อหาหลัก ‘หมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ’ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จากเหตุขึ้นปราศรัยหน้า สน.บางเขน เมื่อวันที่ 21 ธ.ค. 2563 ขณะเข้ารับทราบข้อกล่าวหาคดี 112 กรณีการปราศรัยใน #ม็อบ29พฤศจิกา ที่หน้ากรมทหารราบที่ 11
พิพากษาว่า อานนท์มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.เครื่องขยายเสียงฯ ในข้อหาตามมาตรา 112 ลงโทษจำคุก 3 ปี จำเลยให้การเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา ลดโทษ 1 ใน 3 คงจำคุก 2 ปี และลงโทษปรับเป็นพินัยตาม พ.ร.บ.เครื่องขยายเสียงฯ จำนวน 100 บาท
.
คดีนี้ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 21 ธ.ค. 2563 ขณะกลุ่มนักกิจกรรมได้จัดขบวนแห่ขันหมากไปให้กำลังใจ 8 ผู้ต้องหา ที่เข้ารับทราบข้อหาในคดี #ม็อบ29พฤศจิกาไปราบ11 ที่หน้า สน.บางเขน ต่อมามีผู้ถูกดำเนินคดีจากกิจกรรมนี้จำนวน 7 คน โดยแยกเป็นคดีข้อหาหลักตามมาตรา 112 จำนวน 3 คน ได้แก่ อานนท์ นำภา, “เพนกวิน” พริษฐ์ ชิวารักษ์ และ “ไบรท์” ชินวัตร จันทร์กระจ่าง ส่วนที่เหลือถูกกล่าวหาเฉพาะข้อหาหลักตาม พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะฯ
ต่อมาเมื่อวันที่ 14 ธ.ค. 2564 พนักงานอัยการสั่งฟ้องคดีของอานนท์, พริษฐ์ และชินวัตรต่อศาลอาญา อย่างไรก็ตาม ในนัดสืบพยานโจทก์วันแรก ชินวัตรตัดสินใจถอนคำให้การเดิมจากปฏิเสธเป็นรับสารภาพ พร้อมให้พนักงานอัยการโจทก์แยกฟ้องคดีของอานนท์และพริษฐ์เข้ามาใหม่
ในวันที่ 20 มี.ค. 2567 พนักงานอัยการได้ฟ้องคดีในส่วนของอานนท์ (จำเลยที่ 1) และพริษฐ์ (จำเลยที่ 2) เข้ามาใหม่ใน 2 ข้อหา ได้แก่ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และใช้เครื่องขยายเสียงด้วยกำลังไฟฟ้าโดยไม่ได้รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ.เครื่องขยายเสียงฯ
ในนัดสอบคำให้การและตรวจพยานหลักฐานเมื่อวันที่ 26 ส.ค. 2567 พริษฐ์ไม่ได้เดินทางมาศาล ศาลจึงได้ออกหมายจับและจำหน่ายคดีในส่วนของพริษฐ์ออกจากสารบบความชั่วคราว
คดีนี้มีการสืบพยานโจทก์และจำเลยไประหว่างวันที่ 17-18, 30 เม.ย. 2568 โดยอานนท์มีข้อต่อสู้ในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ว่า การปราศรัยของเป็นการใช้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นเพื่อชี้ให้เห็นข้อบกพร่องของสถาบันกษัตริย์ฯ 3 ประการ ได้แก่ พระมหากษัตริย์ไม่อยู่ในหลัก ‘The King Can Do No Wrong’, การดำรงพระองค์ที่ไม่เหมาะสม และการขยายพระราชอำนาจซึ่งไม่เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย
อานนท์ยืนยันว่า การปราศรัยเป็นไปโดยเจตนาดีต่อสถาบันกษัตริย์ฯ เพื่อให้ปรับตัวให้ดำรงอยู่ได้ในยุคปัจจุบันที่มีความท้าทายหลายประการเกี่ยวกับความเคารพของประชาชน โดยไม่ได้มุ่งหมายถึงตัวบุคคล
นอกจากนี้ ในวันเกิดเหตุ อานนท์เดินทางไป สน.บางเขน ในฐานะทนายความ ไม่ใช่ผู้จัดการชุมนุม เพียงแค่ถูกเชิญขึ้นปราศรัย และไม่มีการเตรียมตัวหรือนัดกันมาก่อนกับพริษฐ์และชินวัตรว่าจะปราศรัยเรื่องอะไร เป็นการที่ต่างคนต่างพูด
.
พิพากษาจำคุก 2 ปี ปรับพินัย 100 บาท เห็นว่าใช้สิทธิเสรีภาพเป็นปฏิปักษ์ในทางใดกับสถาบันฯ ไม่ได้ เชื่อว่าจำเลยกล่าวโดยมุ่งหมายให้เสื่อมเสีย ทำให้ประชาชนเสื่อมศรัทธา
วันนี้ (28 พ.ค. 2568) เวลา 09.00 น. ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 806 ครอบครัวอานนท์, นักกิจกรรม, นักวิชาการ, เจ้าหน้าที่องค์กรสิทธิมนุษยชน และประชาชน ทยอยเดินทางมาสังเกตการณ์คดีจนเต็มพื้นที่ม้านั่งในห้องพิจารณาคดี รวมถึงศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร. ธงชัย วินิจจะกูล นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ ซึ่งมายื่นคำร้องขอให้ยุติการกระทำการปฏิบัติหรือการลงโทษที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ กรณีการใส่กุญแจเท้าของอานนท์ นำภา
เวลาประมาณ 9.35 น. อานนท์ถูกเบิกตัวขึ้นมาที่ห้องพิจารณาคดี เขาปรากฏตัวในชุดผู้ต้องขังสีเหลืองอ่อนใส่ชายเสื้อไว้ในกางเกงขายาวสีดำ ถูกพันธนาการด้วยกุญแจข้อเท้า พร้อมอุ้มลูกชายไว้ในอ้อมแขน โดยมีประชาชนและนักกิจกรรมหลายคนแวะเวียนเข้าไปพูดคุยและให้กำลังใจ
เวลา 9.45 น. ศาลออกนั่งพิจารณาคดีและอ่านคำพิพากษาในคดีนี้ สามารถสรุปได้ดังนี้ มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่าในข้อหาใช้เครื่องขยายเสียงด้วยกำลังไฟฟ้า โดยไม่ได้รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ.เครื่องขยายเสียงฯ จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ จึงฟังได้ว่ามีความผิด
ส่วนข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 โจทก์มีพยาน คือ พ.ต.อ.อนันต์ วรสาสตร์ เบิกความว่า ในวันเกิดเหตุ มีประชาชนเข้าร่วมชุมนุมประมาณ 200 คน จำเลยที่ 1 ขึ้นปราศรัย จำเลยที่ 2 ขึ้นปราศรัยต่อ และยังมีชินวัตรสลับขึ้นปราศรัย พยานเห็นว่าจำเลยทั้งสองและชินวัตรมีความผิดตามมาตรา 112 จึงแจ้งข้อกล่าวหา ในชั้นสอบสวน จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
พยานคนอื่น ๆ พ.ต.อ.สราวุธ บุตรดี พนักงานสอบสวนทำการสอบปากคำ ให้ความเห็นในทำนองเดียวกันว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามมาตรา 112
เห็นว่า ขณะเกิดเหตุมีรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 2 บัญญัติว่า “ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”, มาตรา 6 บัญญัติว่า “องค์พระมหากษัตริย์ทรงดํารงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใดๆ มิได้”, และมาตรา 50 (1) บัญญัติว่า “บุคคลมีหน้าที่พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”
นอกจากนี้ ประมวลกฎหมายอาญายังมีบทบัญญัติเกี่ยวกับความผิดต่อพระมหากษัตริย์ พระราชินี และรัชทายาท เป็นพิเศษต่างจากบุคคลทั่วไป รวมถึงบทบัญญัติตามมาตรา 112
เห็นได้ชัดแจ้งว่า พระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 10 ดำรงอยู่ในฐานะประมุขของประเทศไทย ไม่สามารถล่วงละเมิดได้ หรือจะใช้สิทธิเสรีภาพเป็นปฏิปักษ์ในทางใดไม่ได้ ในความคิดของประชาชนยังเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์มาตั้งแต่โบราณกาล จึงไม่สามารถจาบจ้วง ล่วงเกิน หรือเสียดสีได้
ความผิดตามมาตรา 112 หมายถึง การใส่ความพระมหากษัตริย์ต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทำให้ถูกดูหมิ่น เกลียดชัง สร้างความรู้สึกทางลบต่อสถาบันฯ อาฆาตมาดร้าย การแสดงท่าทางหรือถ้อยคำว่าจะทำลายในอนาคต รวมถึงจะใช้กำลังประทุษร้าย
คำปราศรัยของจำเลยที่ 1 ดังกล่าว ทำให้พระมหากษัตริย์เสื่อมเสียเกียรติยศชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชังหรือไม่นั้น ต้องพิจารณาถึงฐานะที่พระองค์ทรงดำรงอยู่ และความรู้สึกนึกคิดของประชาชนชาวไทยต่อสถาบันฯ
เชื่อว่า จำเลยที่ 1 กล่าวโดยมุ่งหมายให้พระมหากษัตริย์เสื่อมเสียพระเกียรติ ทำให้ประชาชนเสื่อมศรัทธาและไม่เคารพต่อพระมหากษัตริย์ การกระทำจึงเป็นการดูหมิ่น เกลียดชัง เป็นความผิดตามมาตรา 112
ส่วนที่ว่าจำเลยที่ 1 เป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่ 2 และนายชินวัตรหรือไม่นั้น ทางนำสืบได้ความว่า จำเลยที่ 1, จำเลยที่ 2 และชินวัตร สลับกันขึ้นปราศรัย การร่วมกันกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 นั้น ต้องร่วมและมีเจตนากระทำผิดด้วยกัน และต้องถือเอาการกระทำของแต่ละคนเป็นการกระทำของตนเอง
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เป็นการกระทำที่ต่างคนต่างปราศรัย พยานโจทก์ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 และชินวัตรมีลักษณะเป็นตัวการร่วม พฤติการณ์ที่อยู่ในที่เกิดเหตุในช่วงเวลาเดียวกันยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ถือเอาการกระทำของบุคคลอื่นเป็นของตน
พิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามฟ้อง ในข้อหาตามมาตรา 112 ลงโทษจำคุก 3 ปี คำรับข้อเท็จจริงของจำเลยที่ 1 เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา ลดโทษ 1 ใน 3 คงจำคุก 2 ปี และลงโทษปรับเป็นพินัยตาม พ.ร.บ.เครื่องขยายเสียงฯ จำนวน 100 บาท
ให้นับโทษต่อในคดีมาตรา 112 กรณีปราศรัยในการชุมนุม #ม็อบ14ตุลา, คดีมาตรา 112 กรณีโพสต์เฟซบุ๊ก 3 ข้อความ วิจารณ์การบังคับใช้มาตรา 112 และเรียกร้องการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์, คดีมาตรา 112 กรณีปราศรัยในการชุมนุม #เสกคาถาผู้พิทักษ์ปกป้องประชาธิปไตย
ผู้พิพากษาที่ลงนามในคำพิพากษา ได้แก่ อำนาจ เพ็งมาก และ ชนะรัตน์ ศิริพัฒนโกศล
ต่อมา ศาลอ่านรายงานกระบวนพิจารณาระบุว่า “ห้ามมิให้บุคคลใดนำเหตุการณ์ในห้องพิจารณาคดีและในศาลอาญาถ่ายทอดเผยแพร่สู่สาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต มิฉะนั้น ศาลจะดำเนินการตามระเบียบและกฎหมายเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในบริเวณศาลต่อไป” ซึ่งเป็นคำสั่งในลักษณะเดียวกันกับที่ศาลอาญาเคยสั่งในนัดสืบพยานคดีนี้และคดีอื่นรวมอย่างน้อย 4 คดี
หลังจบการพิจารณาคดี ทนายความจำเลยได้ยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวอานนท์ในคดีมาตรา 112 ของศาลอาญาที่อยู่ในระหว่างอุทธรณ์ รวม 6 คดี ได้แก่ คดีนี้, คดีมาตรา 112 กรณีปราศรัยในการชุมนุม #ม็อบ14ตุลา, คดีมาตรา 112 กรณีโพสต์เฟซบุ๊ก 3 ข้อความ วิจารณ์การบังคับใช้มาตรา 112 และเรียกร้องการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์, คดีมาตรา 112 กรณีปราศรัยในการชุมนุม #เสกคาถาผู้พิทักษ์ปกป้องประชาธิปไตย, คดีมาตรา 112 เขียนและโพสต์จดหมาย #ราษฎรสาส์น ถึงกษัตริย์รัชกาลที่ 10 และคดีมาตรา 112 กรณีโพสต์เฟซบุ๊ก 2 ข้อความ วิจารณ์การใช้อำนาจบริหารราชการแผ่นดินของรัชกาลที่ 10 คำพิพากษา
สำหรับคดีนี้นับเป็นคดีมาตรา 112 คดีที่ 8 ของอานนท์ที่มีคำพิพากษา โดยปัจจุบันอานนท์มีโทษจำคุกรวมในทุกคดีสูงถึง 22 ปี 25 เดือน 20 วัน แต่ทุกคดียังอยู่ระหว่างอุทธรณ์คำพิพากษา ยังไม่สิ้นสุดลง
ในด้านของ ดร.ธงชัย พร้อมตัวแทนจากมูลนิธิผสานวัฒนธรรม และศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ได้ลงไปยื่นคำร้องขอให้ยุติการกระทำการปฏิบัติหรือการลงโทษที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ กรณีการใส่กุญแจเท้า อานนท์ นำภา ที่งานรับคำร้อง ก่อนออกมาแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนบริเวณหน้าศาลอาญา