อาจจะดูเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นซ้ำไปมา แต่มันก็เกิดขึ้นเช่นนั้นจริง ๆ
เรื่องจากชีวิตใครสักคนหนึ่ง สาธารณชนไม่ได้รู้จักเขา กลายเป็นผู้ถูกดำเนินคดีบางข้อกล่าวหาโดยไม่คาดคิดจากข้อความสั้น ๆ ในโพสต์สักโพสต์ แต่คดียืดยาวจนนำไปสู่การถูกคุมขัง แม้จะเตรียมตัวเตรียมใจไว้บ้าง แต่ผลกระทบต่อชีวิตตัวเองและครอบครัวก็ยังยากจะหลีกเลี่ยง
———————-
.
“ปณิธาน” เป็นนามสมมติของประชาชนวัย 28 ปี อีกคน ที่เพิ่งถูกจองจำในคดีมาตรา 112 หลังศาลฎีกามีคำพิพากษายืน ให้จำคุก 1 ปี 6 เดือน จากการไปคอมเมนต์โพสต์เฟซบุ๊กในกลุ่ม “ตลาดหลวง” เมื่อปี 2564
พื้นเพปณิธานเป็นคนจังหวัดสระแก้ว มาจากครอบครัวผู้รับจ้างใช้แรงงาน ตัวเขาจบการศึกษาด้านช่างกลโรงงาน จากวิทยาลัยเทคนิคปราจีนบุรี เคยทำงานเป็นพนักงานดับเพลิงของหน่วยงานท้องถิ่นในจังหวัดสระแก้ว แต่หลังถูกดำเนินคดีนี้ได้ตัดสินใจลาออก หันมาเป็นพ่อค้าขายยำ และต่อมาต้องรับงานก่อสร้างแทน
เขาเล่าว่า ตัวเองเริ่มมาสนใจข่าวสารทางการเมืองหลังการรัฐประหารปี 2557 ด้วยสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ครอบครัวได้รับผลกระทบ เขาเริ่มติดตามข่าวสารข้อมูลต่าง ๆ ในโลกโซเชียล แต่ก็เพียงดูข่าวอ่านข่าวบ้างเมื่อมีเวลาว่าง ไม่ได้ถึงขนาดไปร่วมกิจกรรมหรือการชุมนุมใด ๆ
อาจเหมือนใครอีกหลายคน ที่เมื่อเกิดสถานการณ์การชุมนุมในปี 2563 เข้มข้น กลายเป็นจุดสำคัญที่ทำให้เห็นปัญหาทางการเมืองมากขึ้น ปณิธานติดตามข่าวสารการชุมนุมทางโลกออนไลน์ เข้าไปคอมเมนต์บ้าง แต่ไม่ได้มีโอกาสออกไปร่วมชุมนุม
ปณิธานยังเข้าไปอ่านข้อมูลในกลุ่ม “รอยัลลิสต์มาร์เก็ตเพลส-ตลาดหลวง” ที่เป็นกระแสความสนใจในช่วงปีนั้น ส่วนมากเป็นการเข้าไปดู เขาไม่เคยโพสต์ข้อความลงในกลุ่ม และถ้าจำไม่ผิด การเข้าไปคอมเมนต์ข้อความในโพสต์ที่ถูกกล่าวหา น่าจะเป็นการคอมเมนต์ครั้งแรกและครั้งเดียวที่เกิดขึ้น โดยไม่คิดเลยว่าจะนำไปสู่การดำเนินคดี
.
หลังจากคอมเมนต์ในช่วงพฤษภาคม ปี 2564 เขาได้รับแชทจากบุคคลที่ไม่ได้เป็นเพื่อนกัน และไม่ทราบว่าเป็นใคร ส่งข้อความมาข่มขู่ บอกทำนองว่ากำลังดำเนินคดีกับคุณ พร้อมกับมีเอกสารที่รวบรวมข้อมูลส่วนตัวส่งมาด้วย แต่เขาก็ไม่ได้คาดว่าจะมีคดีเกิดขึ้นจริง ๆ และจนถึงภายหลัง ก็ยังไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ไปกล่าวหาในคดีของเขา เนื่องจากคดีไม่ได้มีการสืบพยาน
ปณิธานบอกว่าเขาลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่า เคยได้รับข้อความข่มขู่นี้ จนกระทั่งผ่านไปเกือบปี วันที่ 9 พ.ค. 2565 เขาถูกชุดเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าจับกุมตามหมายจับ โดยไม่เคยมีหมายเรียกมาก่อน
“ผมอยู่ที่ทำงาน แล้วมีตำรวจขับรถเข้ามา ตอนนั้นก็นั่งกันอยู่หลายคน ตำรวจก็เปิดประตูเข้ามา พร้อมทักชื่อเล่นผมเลยนะ ไม่รู้ว่าเขารู้ได้ยังไง ตอนแรกผมคิดว่าเป็นการซ้อมแผนหรืออะไรหรือเปล่า ยังไม่รู้ว่ามันคืออะไร ผมก็แสดงตัว แล้วเขาก็เอาหมายจับมาให้ผมดู แล้วก็ให้ผมเซ็นชื่อ พร้อมเขียนกำกับว่ายังไม่เคยโดนจับกุมมาก่อน แล้วถ่ายรูปกับหัวหน้างาน เป็นหลักฐานการจับกุม”
ปณิธานบอกว่าชุดตำรวจที่มาวันนั้นมีทั้งในและนอกเครื่องแบบ น่าจะเกือบ 10 คน มีสารวัตรที่อยู่ในเครื่องแบบ ที่เหลือเป็นนอกเครื่องแบบ ดีว่าตำรวจอนุญาตให้เขาติดต่อหาญาติ ก่อนโทรศัพท์มือถือจะถูกยึดไป โดยให้ใช้เฉพาะตอนที่ญาติโทรกลับมาหา เพื่อสอบถามสถานที่ถูกนำตัวไป
เขาเล่าว่าตัวเองถูกนำตัวขึ้นรถตู้ตำรวจ เข้ากรุงเทพฯ ไปที่ บก.ปอท. เลย จนถึงในช่วงค่ำ ก่อนทางตำรวจรอให้ญาติติดตามมาถึงก่อน ค่อยเริ่มทำการสอบสวน
“ตอนแรกเขาก็มีถามว่าจะใช้ทนายไหม แต่ตอนนั้น ผมยังไม่เข้าใจ ผมยังไม่รู้ว่ามันต้องทำอะไร ยังไงบ้าง แล้วมันก็ค่ำแล้ว เลยไม่รู้จะติดต่อใคร ไม่รู้จะมีค่าใช้จ่ายอะไรหรือเปล่า เราไม่ได้เตรียมอะไรไปเลย เลยได้แค่รอแฟนผมตามมาหา
“ตอนที่เขาบอกว่าเราโดนข้อหามาตรา 112 ในหมายจับนะ เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ ผมก็ยังนึกไม่ออกนะว่าผมไปทำอะไร ทำให้โดนคดีแบบนี้ ตำรวจเขาก็เลยเปิดเอกสารให้ดู คือมันผ่านมาเป็นปีแล้ว เลยลืมไปแล้ว ก็คือไม่เคยคิดเลยว่าจะโดนจับ หรือโดนคดีแบบนี้”
ปณิธานเล่าว่า ตอนถูกสอบสวน มีแฟนเขาร่วมอยู่ด้วย แต่ไม่มีทนายความ ตำรวจสอบถามเรื่องกลุ่มตลาดหลวง สอบถามความคิดเห็นที่ไปคอมเมนต์ข้อความ ซึ่งเขาก็ยอมรับว่าได้โพสต์คอมเมนต์เช่นนั้นจริง ๆ ตำรวจยังบอกในลักษณะว่าจะช่วยให้คดีดูไม่ร้ายแรงเกินไปด้วย
เขาถูกคุมตัวในห้องขังไว้ 1 คืน ก่อนถูกนำตัวไปยื่นขอฝากขังที่ศาลอาญา แม้ได้รับการประกันตัว แต่แฟนของเขาก็ต้องไปกู้ยืมเงินมาเป็นหลักทรัพย์ประกันตัว โดยต้องจ่ายดอกเบี้ยเป็นภาระตามมา
“ตอนนั้น ก็คิดมาก เพราะไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่พอได้ประกันตัว ก็ผ่อนคลายมาหน่อย แต่ก็รู้ว่าจะต้องไปรายงานตัวตามนัดคดีเรื่อย ๆ แต่ก็ไม่ได้คิดไว้ว่าผลคดีจะเป็นยังไง จะติดคุกไม่ติดคุก แต่เราก็ให้การรับไปตามความเป็นจริง”
.
หลังจากนั้น ปณิธานต้องเดินทางไปรายงานตัวเป็นระยะ จนกระทั่งอัยการมีคำสั่งฟ้องคดี แฟนของเขาจึงได้ลองติดต่อขอความช่วยเหลือมาที่ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน และได้รับความช่วยเหลือเรื่องเงินประกันตัวจากกองทุนราษฎรประสงค์
ในชั้นศาล หลังจากพิจารณาทางเลือกแล้ว เขาได้ตัดสินใจให้การรับสารภาพ “คือผมไม่อยากให้มันยืดเยื้อ แล้วเราก็ไม่รู้จะปฏิเสธยังไง ก็ยอมรับว่าไปคอมเมนต์จริง ก็ไปปฏิเสธได้ไม่เต็มปาก แล้วก็ไม่อยากให้มันใช้เวลายืดเยื้อ ถ้าติดก็ติด ถ้าไม่ติดก็โชคดีไป ผมก็ไม่อยากให้มันเสียเวลามากไป แล้วลูกผมก็กำลังจะคลอด ก็เลยคิดว่ารับสารภาพไปเลย
“แล้วก็มีเรื่องค่าใช้จ่ายในการเดินทางด้วย เพราะเดือนหนึ่ง เราก็ต้องเดินทางไป หาเงินได้ก็ต้องมาใช้เป็นค่าน้ำมัน ค่าที่พัก ค่ากิน ทำให้รู้สึกว่ามันไม่ไหว ปกติ เราขับรถเข้าไปกรุงเทพฯ เอง โดยต้องไปก่อนวันนัดวันหนึ่ง ก็ต้องมีค่าที่พัก ถ้าเราเข้ากรุงเทพฯ สักครั้ง ประมาณ 3 พันได้ต่อครั้ง อันนี้ไม่รวมค่ากินตามปกติ” ปณิธานเล่าถึงปัจจัยในการตัดสินใจ
ปลายปี 2565 ก่อนฟังคำพิพากษาในศาลชั้นต้นไม่กี่วัน เขาเพิ่งมีลูกสาวกับภรรยา วันนั้นเขาเกรงว่าจะไม่ได้ประกันตัว เพราะลูกเพิ่งอายุไม่ถึงหนึ่งเดือน อยากมีเวลาดูและอยู่กับการเติบโตของลูกก่อน แต่ก็ยังดีว่าแม้ศาลจะลงโทษจำคุก 2 ปี เขายังได้รับการประกันตัว
“ตอนนั้นก็คิดว่าข้อหานี้มันรุนแรงเกินไป มันก็เหมือนสิทธิในการพูด การแสดงออก ต้องอยู่ภายใต้เรื่องนี้ ทำให้คนไม่กล้าพูด ไม่กล้าแสดงความเห็น อย่างเราเองก็ไม่เคยมีประวัติการกระทำความผิดมาก่อน แต่ก็อาจจะต้องติดคุก ก็ได้แต่ทำใจ”
.
ช่วงนั้น ผลกระทบอีกอย่างหนึ่ง คือเขาต้องตัดสินใจลาออกจากงานที่ทำอยู่ เนื่องจากภาระทางคดี และเกรงว่าที่ทำงานจะเพ่งเล็งจากการถูกกล่าวหาในข้อหาเช่นนี้ เขากับภรรยาต้องหันไปขายอาหารในตลาดนัด ต่อมารายได้ไม่ดีเท่าไร ยิ่งภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวนในช่วงหลัง เขาต้องหันไปรับงานก่อสร้างแทน
ชีวิตช่วงหลังเขาต้องดิ้นรนรับงาน ตั้งแต่ขึ้นโครงบ้าน ฉาบปูน ทำระบบน้ำไฟ โดยเคยรับเงินรายกะ ทุก ๆ 15 วัน จนมาลดเหลือรับเงินแบบรายวันแทน เมื่อทราบว่าคดีใกล้จะสิ้นสุดลงและอาจไม่สามารถเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาได้ เพราะอยากใช้เวลาที่เหลืออยู่ก่อนกับลูกสาวอย่างเต็มที่
“ดีว่าครอบครัวเข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ได้ซ้ำเติมอะไร ก็ให้กำลังใจกันตลอด แต่ก็สิ่งที่เป็นห่วงมากที่สุด ไม่ใช่ตัวผมเอง ผมสมถะ อยู่ง่ายกินง่าย คงจะปรับตัวได้ แต่บ้านผมมีแต่ผู้หญิงและคนแก่ มีลูกหลานเล็ก ๆ อีก 3 คน ผมเป็นผู้ชายคนเดียว คอยดูแลพวกเขา ดูแลบ้าน ซื้อของเข้าบ้าน ผมชอบทำอาหาร และในละแวกบ้านยังมีคนแก่อีกหลายคน ที่เราคอยช่วยเหลือดูแล คอยทำธุระให้” ปณิธานทบทวนผลกระทบที่เกิดขึ้น
หลังจากนั้นหลายอย่างก็ดำเนินไป แต่ไม่เป็นอย่างที่หวัง ปลายปี 2566 ในชั้นศาลอุทธรณ์ ปณิธานได้พิจารณาลดหย่อนโทษลงมาเล็กน้อย เหลือ 1 ปี 6 เดือน แต่ยังคงไม่ให้รอลงอาญา จนต้องลุ้นในศาลสุดท้าย และศาลฎีกาก็มีคำพิพากษายืนในที่สุดเมื่อวันที่ 13 พ.ค. 2568
การนับวันเพื่อรอคอยผลคำพิพากษา ต้องผันเปลี่ยนเป็นการนับคืนรอการได้ปล่อยตัว
.
ก่อนคำพิพากษาจะมาถึง ปณิธานเล่าถึงสิ่งที่เขาฝันอยากเห็น ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น “หากหวังอะไรได้ ผมก็แค่อยากให้ครอบครัวได้อยู่กันพร้อมหน้า ได้มีกินมีใช้ ไม่ขาดเหลือ แค่นี้ก็พอใจแล้ว
“ผมคิดกันกับแฟน มีความฝันกันว่า วันหนึ่งเราอยากจะทำงานช่วยเหลือคนแก่ในละแวกบ้าน พาไปโรงพยาบาล ไปเป็นเพื่อนหาหมอ ถ้าไม่ติดคุกคงได้เริ่มทำ ตอนนี้แฟนรับจ้างทำเล็บ ผมคิดจะไปเรียนเป็นช่างตัดผม จะได้ทำอะไรด้วยกัน ร้านตัดผม ร้านทำเล็บ ที่สำคัญเป็นงานที่จัดแจงเวลาเองได้ ตอนที่เราทำงานอื่น ๆ ถ้าลางานไปทีหนึ่ง พาแม่ไปหาหมอ ไปดูแลครอบครัว ก็จะถูกค่อนแคะเรื่องลางานตลอด การได้ทำงานที่มีความอิสระมากขึ้นคงจะทำให้มีเวลาได้อยู่กับลูกสาว ลูกสาวติดผมมาก ๆ
“แล้วก็อยากให้บ้านเรามีระบบการศึกษาที่ดีกว่านี้ เมื่อลูกผมโตขึ้น ผมอยากเห็นความเท่าเทียมในสังคม แล้วก็อยากเห็นเศรษฐกิจที่มันดีขึ้น เห็นรัฐบาลที่โปร่งใสตรวจสอบได้ ไม่ใช่มาทำงานผักชีโรยหน้าไปวัน ๆ แล้วก็ต้องเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ระบบตำบล อำเภอ เทศบาล ผมว่ามันมีปัญหาการคอรัปชั่นอยู่ทุกระดับ ก็อยากให้มีการเปลี่ยนแปลงระบบพวกนี้”
มีเรื่องราวเล็ก ๆ อีกเรื่องหนึ่งก่อนมาฟังคำพิพากษาในศาลสุดท้าย แฟนของปณิธานเล่าว่าทุก ๆ คนที่บ้านจัดกระเป๋าโดยนำชุดว่ายน้ำมาด้วย ด้วยหวังว่าหากเสาหลักของครอบครัวคนนี้ไม่ติดคุก ฟังคำพิพากษาเสร็จแล้ว ทั้งหมดจะเดินทางไปเที่ยวทะเลด้วยกัน แต่สิ่งนั้นก็ยังไม่ได้เกิดขึ้นตามที่วาดหวังไว้
——————
.
อาจจะดูเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นซ้ำไปมา แต่มันก็เกิดขึ้นเช่นนั้นจริง ๆ กับชีวิตของใครหลายคนในประเทศของเรา
.