เมื่อวันที่ 29 เม.ย. 2568 ทนายความเดินทางไปที่ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนชายบ้านกรุณา จ.สมุทรปราการ เข้าเยี่ยม ‘ฐาปนา’ (นามสมมติ) เยาวชนวัย 20 ปี ที่ถูกคุมขังจากกรณีถูกศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง พิพากษาให้รับการฝึกอบรม 4 ปี จากการถูกดำเนินคดีวางเพลิงตู้จราจรพญาไท และขว้างปาวัตถุระเบิด ในช่วงการชุมนุมดินแดง เมื่อวันที่ 1 ต.ค. 2564
การได้พบฐาปนาครั้งนี้สัมผัสได้ถึงความหวัง ความเปลี่ยนแปลง และการเติบโตที่เกิดขึ้นภายในกำแพงสถานกักกัน โดยเฉพาะตัวฐาปนาเองที่ค้นพบโอกาสทางการศึกษาที่ไม่เคยได้สัมผัสในชีวิตภายนอก เขากำลังจะจบ ม.ต้น ได้เรียนรู้วิชาชีพ และเติบโตท่ามกลางความยากลำบาก
นอกจากนี้ความคิดถึงลูก การรอคอยวันพิพากษาของศาลอุทธรณ์ในวันที่ 13 พ.ค. 2568 และเสียงที่บอกว่า “ถ้าโทษมาสองปี ผมสู้สุดใจเลย” สะท้อนให้เห็นความหวังที่จะได้ออกไปใช้ชีวิตปกติโดยเร็ว
การพบกันครั้งนี้ที่บ้านกรุณา ที่เวลาเสมือนเดินช้ากว่าโลกภายนอก ฐาปนาเฝ้ารอวันที่จะได้ก้าวออกจากกำแพงนี้ ด้วยความเข้าใจในชีวิตที่มากขึ้นกว่าเดิม
_____________________________________________
ฟ้าครึ้มของเช้าวันสุดท้ายเดือนเมษายนห่มคลุมอาคารรูปทรงสี่เหลี่ยมที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางความเงียบ ไร้เสียงกิจกรรมใด ๆ ลอดออกมา บรรยากาศที่ผิดวิสัยของสถานที่ที่มักจะเต็มไปด้วยเสียงอึกทึกของชีวิตวัยรุ่น เป็นเพราะกรณีการทะเลาะวิวาทระหว่างเด็กในบ้าน ทำให้ทุกคนถูกกักบริเวณบนห้องนอน ได้ลงมาเพียงเวลาอาหารเท่านั้น
ในห้องเยี่ยม ฐาปนาปรากฏตัวในชุดวอร์มสีน้ำเงินยับย่น และกางเกงขาสั้นสีดำ เขายกมือไหว้ทันทีที่เห็นทนายความ ใบหน้าแสดงออกถึงความเหนื่อยล้าจากการใช้ชีวิตในสถานกักกัน
ทนายแจ้งว่า ไปตรวจสำนวนคดีของเขาแล้ว รายงานจากบ้านเมตตาไปถึงศาลเมื่อวันที่ 18 เมษายนที่ผ่านมา แต่ยังไม่สามารถอ่านได้ เพราะผู้พิพากษายังไม่อนุญาต ศาลน่าจะเปิดในวันนัดฟังคำพิพากษาชั้นอุทธรณ์เลย เท่าที่ดูรายงานก่อนหน้า บ้านกรุณาค่อนข้างเขียนว่าเขาปฏิบัติตามกฎระเบียบได้ดี เข้าร่วมกิจกรรมตลอด แต่ที่อยากอ่านก่อน จะได้เตรียมรับมือในวันนั้นได้
ฐาปนาเล่าต่อว่า เมื่อไม่กี่วันก่อนได้ฉีดยาไข้หวัดใหญ่ บ้านกรุณาฉีดให้กับเด็กทุกคน ทำให้ช่วงนี้เขากินข้าวได้ไม่ค่อยเยอะ น่าจะเป็นผลพวงจากยา ทำให้มีอาการไข้เล็กน้อย แต่ไม่ได้หนักหนาอะไร ก่อนบอกเพิ่มอีกว่า เขายังคงนอนไม่ค่อยหลับ แต่จะไม่ถี่เท่าช่วงก่อนหน้านี้
“ข้างในนี้ผมนับคืนนับวัน” เขาเล่าด้วยน้ำเสียงที่แฝงความเศร้า “มีคนถูกปล่อยเยอะในช่วงสองวันมานี้ บางคนมาทีหลังผม แต่ได้ออกไปแล้ว” เสียงของเขาเศร้าลงเล็กน้อยเมื่อพูดถึงเพื่อน ๆ ที่ได้ออกไป โดยเฉพาะความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะได้ก้าวออกจากกำแพงแห่งนี้ กลับไปใช้ชีวิตอิสระอีกครั้ง “ถ้าโทษมาสองปี ผมสู้สุดใจเลย” เขากล่าว
หนึ่งปีในบ้านกรุณา ไม่ได้มีแต่ความมืดมิดและความสิ้นหวัง ท่ามกลางความทุกข์ยาก ฐาปนาค้นพบสิ่งที่หลายคนภายนอกกำแพงอาจมองข้าม การศึกษาและความเติบโตของตัวเอง “มีสิ่งที่เปลี่ยนแปลงกับตัวผม ผมเรียนจะจบ ม.ต้นแล้ว เรียนไปแล้วสองเทอม ขาดอีกสองเทอม เรียนจบวิชาชีพ 2 วิชาชีพ ตอนนี้ก็จะเรียนอีกวิชาชีพ” ต่างจากชีวิตนอกกำแพงที่วนเวียนอยู่กับงานขับไรเดอร์และการขายน้ำท่อม “ถ้าอยู่ข้างนอก ผมคงวนเวียนอยู่แบบนั้น ติดเพื่อน ติดพี่” เขายอมรับอย่างตรงไปตรงมา
น้ำเสียงของฐาปนาเปลี่ยนไปเมื่อพูดถึงลูกของเขา “ถ้าผมยังอยู่ข้างนอก ผมคงเลี้ยงลูก ลูกคงไม่ต้องไปอยู่กับย่าของแฟน หรือไปอยู่กับคนนั้นทีคนนี้ที” เขาเงียบไปชั่วขณะ ก่อนจะพูดต่อด้วยเสียงที่แผ่วลง “ผมคิดถึงลูก อยากกลับออกไปเลี้ยงเขา ดูแลเขา ตอนที่เขาเจ็บป่วย ไม่สบาย อยากพาเขาไปหาหมอได้”
บทสนทนาท้าย ๆ เมื่อนำโพสต์ที่มีเรื่องราวของเขาที่มีคนกดไลค์เป็นจำนวนมาก แววตาของฐาปนาเปล่งประกายด้วยความตื่นเต้น “โอ้โห ทำไมคนกดไลค์เยอะ” เสียงเขาแฝงด้วยความเขินอาย ราวกับไม่เคยคิดว่าจะมีคนสนใจเรื่องราวของตัวเอง
เมื่อหมดเวลาเยี่ยม ฐาปนาถูกนำตัวกลับไปยังที่ควบคุมตัว เหลือทิ้งไว้เพียงถ้อยคำสุดท้าย “ตอนนี้ก็รอฟังคำพิพากษาอย่างเดียว” คำพูดที่บ่งบอกถึงความหวังที่ยังมี
ฐาปนาถูกคุมขังมาแล้วรวม 372 วัน หรือ 1 ปี กับอีก 7 วัน เท่าที่ทราบข้อมูล เขาเป็นผู้ต้องขังเยาวชนคนเดียวที่มีเหตุจากการแสดงออกทางการเมืองซึ่งถูกคุมขังอยู่ในขณะนี้ โดยศาลเยาวชนและครอบครัวกลางนัดฟังคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์วันที่ 13 พ.ค. 2568 นี้
.
อ่านเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
“อยากให้ศาลเห็นใจผม” ความฝันกับความตั้งใจของ “ฐาปนา” เยาวชนที่ยังถูกขังจากคดีการเมือง
ความกังวลของ “ฐาปนา”: “ยิ่งข้างในอากาศเย็น ยิ่งทำให้คิดถึงลูก”